พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงให้ความสนพระราชหฤทัยในกิจการอันเกี่ยวเนื่องกับการชลประทานหรือการพัฒนาแหล่งน้ำเป็นอย่างมาก เพราะทรงตระหนักดีว่า “น้ำคือชีวิต” พระองค์เคยมีกระแสพระราชดำรัสแก่ผู้ถวายงานใกล้ชิดพระองค์ว่า “ฉันสนใจชลประทานมาตั้งแต่เด็ก” ทั้งยังได้พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่คณะกรรมการสโมสรไลออนส์สากล ภาค ๓๑๐ ประเทศไทย ไว้เมื่อ ๒๕ กันยายน ๒๕๑๒ ณ พระตำหนักจิตรดารโหฐาน ดังความที่ขออันเชิญมาตอนหนึ่งว่า
“ในด้านชลประทานหรือด้านป่าไม้นี้ ก็อาจจะมีบางคนเข้าใจว่าทำไมจึงสนใจ และบางคนไม่เข้าใจว่าทำไมฉันสนใจเรื่องชลประทาน หรือเรื่องป่าไม้ จำได้เมื่ออายุ ๑๐ ขวบ ที่โรงเรียนมีครูคนหนึ่งสอนเรื่องวิทยาศาสตร์ เรื่องการอนุรักษ์ดินแล้วให้เขียนว่าภูเขาต้องมีป่าไม้อย่างนั้น เม็ดฝนลงมาแล้วจะชะดินลงมาเร็ว ทำให้ไหลตามน้ำไป ก็เป็นหลักของป่าไม้เรื่องการอนุรักษ์ดินและเป็นหลักของชลประทานที่ว่า ถ้าเราไม่รักษาป่าไม้ข้างบน จะทำให้เดือดร้อนตลอด ตั้งแต่ดินบนภูเข้าหมดไป กระทั้งการที่จะมีตะกอนลงมาในเขื่อน มีตะกอนลงมาในแม่น้ำ ทำให้น้ำท่วม”
จะเห็นได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชการปัจจุบัน ทรงเรียนรู้เรื่องการชลประทานมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ด้วยเหตุนี้จึงปรากฏว่า โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำหริมากมายหลายโครงการ ล้วนเกี่ยวข้องกับทรัพยากรน้ำทั้งสิ้น
นับตั้งแต่เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ รัชการที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงดำรงพระองค์อยู่ในทศพิธราชธรรมอย่างมั่นคง อีกทั้งทรงถือมั่นปฎิบัติตามพระยุคลบาทแห่งองค์สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าแห่งพระบรมจักรีวงค์ เพื่อทรงสืบราชนิติธรรมประเภณีอย่างครบถ้วนในส่วนอาณาประชาราษฎร์ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่เข้ามาเพื่อพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ก็ทรงพระเมตตาเอื้ออาทร ให้ได้รับความผาสุกกันทั่วหน้า โดยทรงสละเวลาส่วนพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเยือนดูแลทุกข์สุขของราษฎรด้วยพระองค์เองมิได้ทรงว่างเว้น โดยเฉพาะในท้องถิ่นห่างไกล และในพื้นที่ธุรกันดาน
พระราชกรณียกิจน้อยใหญ่นานัปการที่ทรงพระวิริยะอุสาหะบำเพ็ญ โดยมิได้ทรงเห็นแก่ความเหนื่อยยากพระวรกาย และภยันตรายใดๆ ทั้งปวงนั้นเกิดจากน้ำพระราชหฤทัยที่ทรงห่วงใยความเป็นอยู่ของพสกนิกรอย่างแท้จริง และด้วยพระราชประณิธานอันมั่นคงที่จะช่วยเหลือประชาชนให้พ้นจากความลำบากยากเข็น เพื่อจะได้มีความสุขตามที่ “พึ่งมี” และ “พึ่งเป็น” จึงนำไปสู่โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำหริเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวกับน้ำ ด้วยมีพระราชวินิฉัยว่าน้ำเป็นปัจจัยสำคัญของงานพัฒนาสำหรับเมืองกสิกรรมอย่างประเทศไทย ดังจะเห็นได้ว่าตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ที่ทรงตรากตรำเพื่อทรงหาวิธีการช่วยราษฎรให้พ้นจากความเดือดร้อนในด้านต่างๆ นั้น งานพัฒนาที่สำคัญยิ่งของพระองค์คืองานพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับ “น้ำ”
เริ่มตั้งแต่ ในฤดูร้อนของ พ.ศ. ๒๕๐๕ ระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ พระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ขณะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรหมู่บ้านเขาเต่า ตำบลหนองแก อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทรงพระราชดำหริว่า ที่หมู่บ้านเขาเต่า ซึ่งเป็นหมู่บ้านริมทะเลแห่งนี้ ราษฎรส่วนใหญ่ยังยากจน ขาดแครนน้ำจืดสำหรับอุปโภคบริโภค และไม่มีน้ำเพื่อการกสิกรรม ประกอบกับพระภิกษุในวัดเขาเต่าได้รับความลำบากเดือดร้อนเกี่ยวกับน้ำ จึงมีพระราชประสงค์ที่จะทรงช่วยเหลือ โดยจัดให้มีแหล่งน้ำขึ้น ด้วยการสร้างเขื่อนดินปิดกั้นน้ำทะเล ไม่ให้ใหลเข้ามาตามคลองที่บริเวณโรงเจข้างเขาเต่า และเพื่อเก็บกั้กน้ำฝนมิให้ใหลลงสู่ทะเล ทำให้เกิดเป็นอ่างเก็บน้ำสำหรับให้ราษฎรได้มีน้ำใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคและทำการกสิกรรม
ในช่วงปลาย พ.ศ. ๒๕๐๕ นั้นเอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินจำนวน ๖๐,๐๐๐ บาท แก่กรมชลประทาน สำหรับเป็นทุนเบื้องต้น สมทบเงินงบประมาณของกรมชลประทาน ในการพิจารณาวางโครงการและก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขึ้นที่หมู่บ้านเขาเต่า เพื่อสนองพระราชดำหริโดยก่อสร้างเป็นเขื่อนดินขนาดสูง ๕ ม. ยาว๖๐๐ ม. ความจุอ่างเก็บน้ำประมาณ ๖๐๐,๐๐ ลบ.ม. มีพื้นที่ถูกน้ำท่วมในอ่างเก็บน้ำประมาณ ๓๐๐ ไร่ เริ่มก่อสร้างเมื่อต้น พ.ศ. ๒๕๐๖ และแล้วเสร็จในปีเดียวกัน
อ่างเก็บน้ำเขาเต่า ที่อำเภอหัวหิน อ่างเก็บน้ำเขาเต่า ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จึงเป็น โครงการพัฒนาแหล่งน้ำแห่งแรก ที่กรมชลประทานดำเนินการก่อสร้าง เพื่อสนองพระราชดำริ สำหรับเก็บกักน้ำจืดให้ราษฎรเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค
ครั้นต่อมาในแต่ละปี เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎร และแปรพระราชฐานไปประทับพักแรม ณ พระตำหนักในภาคต่างๆ เพิ่มมากขึ้นทั้งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคกลาง รวมเป็นเวลานานคราวละหลายเดือนเพื่อทรงสอดส่องดูแลแก้ปัญหาความทุกยากให้แก่ราษฎรในท้องที่ต่างๆ ทำให้ทรงทราบถึงสาเหตูแห่งความลำบากยากจนของราษฎรเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกี่ยวกับการทำมาหากินในท้องถิ่นทุรกันดาร หรือตามหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลความเจริญซึ่งปรากฏว่า ราษฎรส่วนใหญ่ที่เป็นชาวไร่ชาวนา มักประสบปัญหาเกี่ยวกับการขาดแคลนน้ำ หรืออาจจะได้รับความเดือดร้อนเนืองจากน้ำเป็นเหตุ จึงทรงทุ่มเทพระราชหฤทัยในงานด้านการพัฒนาแหล่งน้ำตลอดมา เพื่อการแก้ปัญหาเกี่ยวกับการขาดแคลนน้ำ ทั้งในด้านการจัดหาน้ำให้มีพอใช้สำหรับการเกษตร และสำหรับการอุปโภคบริโภค ตลอดจนเพื่อประโยชน์ในด้านอื่นๆ ตามความเหมาะสมกับสภาพท้องที่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีความเชื่อมั่นว่าเมื่อใดที่สามารถแก้ไขหรือบรรเทาความเดือดร้อนในเรื่องน้ำให้แก่ราษฎร หรือให้ราษฎรมีน้ำกิน น้ำใช้เพื่อการเพาะปลูกได้แล้วเมื่อนั้นราษฎรย่อมมีฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้นกว่าเดิมกล่าวคือ จะมีการกระจายรายได้ และการแลกเปลี่ยนพืชผลระหว่างครอบครัวต่อครอบครัว และหมู่บ้านต่อหมู่บ้าน ซึ่งผลประโยชน์อันมหาศาลที่จะเกิดตามมาได้แก่ ความร่วมมือที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการพัฒนาชนบทในด้านต่างๆ ส่งผลให้ทุกครอบครัวมีสุขภาพพลานามัยดีขึ้น เพราะมีอาหารบริโภคเพียงพอ มีทุนทรัพย์ที่จะส่งบุตรหลานเข้าโรงเรียนเพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงในภายหน้า ทั้งยังสามารถปรับปรุงซ่อมแซมบ้านที่อยู่อาศัยให้ถูกสุขลักษณะยิ่งขึ้น เป็นต้น
ความสนพระทัยในการแก้ปัญหาเรื่องน้ำของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิได้จำกัดอยู่เฉพาะโครงการพัฒนาแหล่งน้ำด้วยวิธีการจัดสร้างแหล่งน้ำถาวรซึ่งอาจจะเป็นอ่างเก็บน้ำ หรือฝายเพื่อให้ราษฎรในท้องถิ่นชนบทต่างๆ ได้มีน้ำใช้โดยไม่ขาดแคลนเท่านั้น หากแต่ยังทรงหาวิธีการจัดหาน้ำช่วยเหลือราษฎร โดยการทำฝนเทียมดังกระแสพระราชดำรัสที่พระราชทานแก่ผู้แทนสมาคมอุตสาหกรรมทอกระสอบไทย สมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ สมาคมพ่อค้าข้าวโพด และพืชพันธุ์ไทย รวมทั้งเจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๑๗ ดังความที่ขออัญเชิญ มาตอนหนึ่งว่า
“การทำฝนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ง่าย จะต้องมีเครื่อง อุปกรณ์ วัสดุ และเจ้าหน้าที่ งานที่ทำนี้ก็ต้องสิ้นเปลืองไม่ใช่น้อย แต่ถ้าผลที่ได้ก็คือ จะเป็นผลที่น่าพอใจ การทำฝนนี้เป็นสิ่งที่ลำบากหลายๆประการทางด้านเทคนิค และในจังหวะที่จะทำเพราะถ้าพูดถึงด้านเทคนิค ฝนที่ทำนี้จะพลิกฤดูกาลไม่ได้ไม่ใช้ว่าเวลาฝนแล้งจะบันดารอย่างปาฏิหาริย์ ให้มี ฝนพอเพียงกับการเพาะปลูกมิได้ หรือจะแทนการชลประทานที่ขุดเรียบร้อยกว้างขวางไม่ได้แต่เป็นทางหนึ่งที่มีหวังสำหรับในฤดูกาลที่ควรจะมีฝน และฝนเทียมจะช่วยให้ประคองพืชผลไม่ให้สิ้นไปพอได้ …การที่ทำฝนนี้เป็นสิ่งใหม่ จึงต้อทำโครงการอย่างระมัดระวัง เพราะว่าสิ้นเปลือง ถ้าทำแล้วไม่ได้ผลจะสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ…”
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากน้ำเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือ ทั้งการจัดหาน้ำให้ท้องถิ่นที่ขาดแคลน และเพื่อแก้ไขความเดือดร้อนสำหรับท้องถิ่นที่ประสบปัญหาถูกน้ำท่วม จึงนำไปสู่โครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยมีกรมชลประทานเป็นหน่วยราชการหลักรับผิดชอบดำเนินการก่อสร้างโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อสนองพระราชดำริขึ้นทุกภาค
อาจกล่าวได้ว่า โครงการอ่างเก็บน้ำเขาเต่า ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริแห่งแรกเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๖ คือจุดเริ่มต้นของโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ในต่อมาได้ขยายออกไปตามภาคต่างๆ ทั่วประเทศเป็นจำนวนมากขึ้นเป็นลำดับ อาทิ ใน ภาคเหนือ โครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพรราชดำริ โครงการแรกที่กรมชลประทานดำเนินการก่อสร้าง คือ โครงการฝายทดน้ำบ้านหนองหอย ซึ่งเป็นหมู่บ้านราษฎรชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง ก่อสร้างแล้วเสร็จใน พ.ศ. ๒๕๑๖ เพื่อหาน้ำให้กับราษฎรบ้านหนองหอย ตำบลโป่งแยง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ให้มีน้ำใช้เพื่ออุปโภคบริโภค และสำหรับการเพาะปลูกพืชผักและพืชเมืองหนาวในพื้นที่ประมาณ ๓๐๐ ไร่
สำหรับการดำเนินงานตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นเป็นเรื่องที่มีความละเอียด ลึกซึ้ง เนื่องจากในอดีตที่ผ่านมาหลายจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เคยถูกภัยผู้ก่อการร้ายคุกคาม ซึ่งได้สร้างความหวาดกลัวให้กับราษฎรผู้ประกอบสัมมาชีพ จนบางครั้งถึงกับต้องอพยพละทิ้งถิ่นที่อยู่ของตนไปอยู่ยังที่ปลอดภัย ประกอบกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภูมิภาคที่แห้งแล้งกันดานน้ำเนื่องจากลักษณะดินส่วนใหญ่เป็นดินปนทราย เก็บน้ำไม่อยู่ เมื่อฝนตกน้ำจะแห้งภายในหนึ่งวันหรือสองวันผู้คนส่วนใหญ่จึงยากจนเพราะทำการเพาะปลูกไม่ค่อยจะได้ผล จนเป็นเหตุให้คลาดแคลนอาหารบริโภค พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประจักษ์ถึงปัญหาความเดือดร้อนต่างๆ ด้วยพระองค์เองดังนั้น ในคราวที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ จังหวัดสกลนคร เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘ จึงพระราชทานพระราชดำริให้กรมชลประทานพิจารณาวางโครงการ และก่อสร้างโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งส่วนใหญ่เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดต่างๆ เพื่อจัดหาน้ำช่วยเหลือราษฎรตามหมู่บ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การหาน้ำให้กับราษฎรในบริเวณพื้นที่ที่ผู้ก่อการร้ายคุกคาม เพื่อให้มีน้ำในการอุปโภคบริโภค และทำการเพาะปลูกตลอดปี โดยมีการรับสั่งว่า
“เมื่อมีน้ำเสียอย่าง ราษฎรก็จะไม่ละทิ้งถิ่นฐานที่อยู่ให้พยายามดึงราษฎรเข้ามาเป็นฝ่ายเราจะได้ไม่เป็นแนวร่วมหรือฝ่ายโน้น ครั้งแรกเราต้องให้ความคุมครองและช่วยเหลือเขาในหนทางต่างๆ ก่อน ซึ่งเป็นนโยบายผลักดันผู้ก่อการร้าย…”
สำหรับภาคใต้ ซึ่งราษฎรที่นับถือศาสนาอิสลามส่วนใหญ่มีฐานะทางเศรษฐกิจค่อนข้างยากจน เนื่องจากทำการเพาะปลูกไม่ค่อยได้ และมีปัญหาเรื่องโจรผู้ร้าย จำเป็นต้องให้หน่วยราชการทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเร่งระดมให้ความช่วยเหลือ และ พัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในภูมิภาคนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส เป็นปีแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๖ พระองค์ทรงมุ่งมั่นพระราชหฤทัยที่จะเสด็จฯ เข้าไปยังหมู่บ้านทุกๆ แห่งที่ทรงกำหนด เพื่อทรงศึกษาสภาพข้อมูลต่างๆ อย่างละเอียดจะได้ทรงพิจารณาให้ความช่วยเหลือได้ตรงตามความประสงค์ของราษฎรต่อไป
การเสด็จราชดำเนินไปตามหมู่บ้านต่างๆ ทำให้ทรงทราบถึงสาเหตุสำคัญประการหนึ่งของความยากจนและการขาดแคลนอาหารว่า มาจากการเกษตรกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ราษฎรทำนาไม่ค่อยได้ผลนั้น เนื่องมาจากพื้นที่หลายพันไร่ในเขตจังหวัดนราธิวาส และจังหวัดใกล้เคียงเป็นที่ลุ่มมีน้ำขังตลอดปี เกิดเป็นพื้นที่พรุ ทำให้บริเวณขอบพรุใช้เพาะปลูกไม่ได้ผล และใช้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำจืดไม่ได้ เนื่องจากน้ำมีปริมาณกรดสูงมากเกินไป จึงได้พระราชทานพระราชดำริด้วยพระวิจารณญาณอันลึกซึ้งให้หาทางระบายน้ำลงสู่ทะเลตามความเหมาะสม เพื่อให้พื้นที่ขอบพรุส่วนหนึ่งแห้งลง ราษฎรจะได้ใช้พื้นที่ขอบพรุที่ระบายน้ำออกไปจนแห้งแล้วเป็นที่ทำกินต่อไป ส่วนครองระบายน้ำได้ใช้เป็นแหล่งเก็บกักน้ำ โดยสร้างประตูระบายน้ำที่จะทำหน้าที่ระบายน้ำส่วนเกินในช่วงฤดูฝนทิ้งลงทะเล และในห้วงเวลาที่ฝนทิ้งช่วงหรือในช่วงฤดูแล้ง ก็สามารถเก็บกักน้ำในครองระบายน้ำไว้ในระดับที่ต้องการได้ เพื่อการนำไปใช้ทำการเพาะปลูกในพื้นที่ขอบพรุดังกล่าวต่อไป
ปัญหาต่างๆ ของราษฎร อันมีสาเหตุมาจากน้ำ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบด้วยพระเนตรพระกรรณ นำไปสู่พระราชดำริให้ทำการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ แนวพระราชดำริดังกล่าวสามารถจำแนกออกได้ดังนี้
• โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร และการอุปโภคบริโภค
• โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการอนุรักษ์พื้นที่ต้นน้ำลำธาร
• โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ
• โครงการระบายน้ำออกจากที่ลุ่ม
• โครงการป้องกัน ละบรรเทาน้ำท่วม
• โครงการบรรเทาน้ำเน่าเสีย
แนวคิดในการดำเนินงานตามโครงการต่างๆ ที่พระราชทานแก่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องนั้น เป็นเพียงแนวทางให้เจ้าหน้าที่นำไปพิจารณาศึกษา และวางโครงการโดยละเอียดเพื่อให้ได้ความถูกต้องตามหลักวิชาการเท่านั้น มิใช่จะต้องก่อสร้างตามพระราชดำริทั้งหมด และถ้าพบว่าโครงการที่ผ่านการศึกษาโดยละเอียดแล้วไม่เหมาะสมที่จะดำเนินการต่อไปก็สามารถระงับการก่อสร้างโครงการนั้นได้ จึงพระราชทานชื่อพระราชดำริที่เกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำไวว่า “โครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ”
การพิจารณาความเหมาะสมในการดำเนินโครงการคำนึงถึงสภาพภูมิประเทศที่จะดำเนินโครงการเป็นสำคัญโดยพิจารณาควบคู่ไปกับแหล่งน้ำ อาทิ สภาพการไหลของน้ำ ขนาดของลำน้ำ นอกจากนั้นยังต้องคำนึงถึงสภาวะทางเศรษฐกิจและสังคมประกอบด้วย กล่าวคือ ด้านสถานภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งต้องพิจารณาถึงเงินลงทุนในการก่อสร้างโครงการ ในแง่ความคุ้นค่าที่จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ราษฎรอย่างแท้จริง ส่วนเรื่องสภาพสังคมนั้นจะต้องหลีกเลี่ยงการสร้างประโยชน์ให้เฉพาะบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยได้ พระราชทานพระดำริไว้ว่า ราษฎรในหมู่บ้านซึ่งได้รับประโยชน์จะต้องแก้ไขปัญหาที่ดินโดยให้ความช่วยเหลือผู้ที่เสียประโยชน์ตามความเหมาะสมตามแต่จะตกลงกันเอง เพื่อให้ทางราชการสามารถเข้าไปใช้ที่ดินทำการก่อสร้างได้โดยไม่ต้องจัดซื้อที่ดิน หากเกิดปัญหาเรื่องที่ดินกับราษฎร โดยไม่สามารถตกลงปัญหาเรื่องที่ดินได้ ให้พิจารณาก่อสร้างเฉพาะโครงการที่ไม่มีปัญหาเรื่องที่ดิน และในระยะต่อไป หากราษฎรในพื้นที่ดังกล่าวรู้ถึงคุณประโยชน์ที่แท่จริงของโครงการจนตกลงปัญหาเรื่องที่ดินกันได้แล้ว และกราบบังคมทูลพระกรุณาพระราชทานความช่วยเหลือมาอีกครั้ง จึงจะพิจารณาดำเนินการต่อไป
พระราชดำรินี้ นอกจากจะเป็นการป้องกันปัญหาขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นแล้ว ยังคงมุ่งหวังให้ราษฎรได้มีส่วนร่วมกับรัฐบาลซึ่งก่อให้เกิดการช่วยเหลือเกื้อกูลกันภายในสังคม และเป็นการสร้างความรู้สึกหวนแหนที่จะบำรุงรักษาสิ่งก่อสร้างนั้นๆ ให้มีสภาพใช้การได้ดีตลอดไปด้วย
ในทางปฏิบัติ บางครั้งไม่สามารถดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จทันตามความต้องการของราษฎรได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แก้ปัญหาด้วยการพระราชทานพระราชดำริให้สร้างอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างไม่เกิน ๑๐ ล้านบาทและสามารถสร้างให้เสร็จได้ภายในเวลาเพียง ๑ ปี โดยพิจารณาดำเนินการให้กับหมู่บ้านยากจนที่ขาดแคลนน้ำมากเป็นกรณีพิเศษก่อน ต่อไปภายหน้าถ้ามีงบประมาณเพียงพอจึงค่อยสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ขึ้น ส่วนบริเวณต้นน้ำลำธารของลุ่มน้ำต่างๆ โดยเฉพาะลำธารที่มีน้ำไหลตลอดปี โปรดพิจารณาสร้างฝายเก็บกักน้ำต้นน้ำลำธารไว้เป็นชั้นๆตามความเหมาะสม แล้วต่อท่อชักน้ำจากเหนือฝาย หรือขุดร่องน้ำจากเหนือฝายเพื่อกระจายน้ำให้กับพื้นที่ป่าไม้บริเวณสองฝั่งลำธารนั้นๆ ช่วยให้พื้นดินสองฝั่งมีความชุ่มชื้นสามารถปลูกพืชผักทำการเกษตรและทำนาข้าวให้เจริญงอกงามแลดูเขียวชอุ่ม อยู่ตลอดปี ทั้งสามารถป้องกันไฟป่าที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูแล้งเป็นประจำอีกด้วย นอกจากนั้นยังได้รับผลพลอยได้ทางด้านการผลิตกระแสไฟฟ้าขึ้นใช้ โดยสามารถติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก ที่บริเวณ อ่างเก็บน้ำหรือฝายทดน้ำ เพื่อผลิตและจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับราษฎรในหมู่บ้านใกล้เคียง ที่การไฟฟ้าไม่สามารถต่อไฟฟ้าไปให้ใช้ได้ เพราะค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากน้ำมันต้องนำเข้าจากต่างประเทศ และเพื่อประโยชน์ที่จะใช้เป็นแสงสว่างในหมู่บ้าน
สำหรับพื้นที่ที่เป็นเขตป่าสงวน ส่วนที่เป็นลักษณะเป็นหุบเขา เหมาะจะสร้างเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ มีพระราชดำริให้รีบดำเนินการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำให้มีความจุอย่างเต็มทีโดยเร่งด่วนที่สุด เพราะถ้าล่าช้า หาก ราษฎรบุกรุกเข้าไปทำกินในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว จะก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้ยากแม้ในพื้นที่ที่น้ำท้วมก็ไม่มีข้อจำกัดในการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำเพื่อกักเก็บน้ำที่จะเกิดจากพื้นที่ลุ่มน้ำเหนืออ่างไว้ทั้งหมด
ส่วนบริเวณของต้นน้ำลำธารของลุ่มน้ำต่างๆ โดยเฉพาะลำน้ำลำธารที่มีน้ำไหลตลอดปีมีพระราชดำริให้พิจารณาสร้างเก็บกักน้ำต้นน้ำลำธารไว้เป็นชั้นๆ ตามความเหมาะสมแล้วต่อท่อชักน้ำจากเหนือฝายด้วยวัสดุท้องถิ่น อาทิ ไม้ไผ่ที่เจาะรูให้น้ำไหลได้ตลอด หรือขุดร่องน้ำรับน้ำจากเหนือฝาย เพื่อกระจายน้ำจากฝายให้พื้นที่ป่าไม้บริเวณสองฝากฝั่งลำน้ำลำธารนั้นๆ ซึ่งช่วยให้พื้นที่ดินดังกล่าวมีความชุ่มชื้น รวมไปถึงแนวป่า ส่งผลให้ต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดปี เป็นการป้องกันไฟป่าในฤดูแล้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเรียกลักษณะป่าเช่นนี้ว่า “ป่าเปียก”
ในส่วนของทหารก็ทรงเห็นสมควรให้ก่อสร้างโครงการประเภทอ่างเก็บน้ำ เพื่อจัดหาน้ำสนับสนุนงานด้านการเกษตรกรรมทหาร ให้กับหน่วยทหารประจำการ เพื่อครอบครัวทหารชั้นผู้น้อยจะได้มีน้ำไว้ใช้ทำการเพาะปลูกทั้งในฤดูฝนและในฤดูแล้งสำหรับเป็นรายได้เสริมแก่ครอบครัวในขณะประจำการ อีกทั้งเมื่อปลดประจำการไปแล้ว ยังมีความรูด้านการเกษตรกรรม สามารถนำไปประกอบอาชีพเลี้ยงตนเลี้ยงครอบครัวได้ และในโอกาสหน้า จะได้ช่วยเหลือราษฎรในหมู่บ้านใกล้เคียงให้มีน้ำอุปโภคบริโภค
โครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนืองมาจากพระราชดำริจึงก่อให้เกิดประโยชน์นานัปการแก่ประเทศชาติ ไม่ว่าจะเป็นในด้านเพื่อการอุปโภคบริโภค เพื่อการเพาะปลูก เพื่อการผลิตไฟฟ้า เพื่อจัดเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาที่สำคัญ หรือเพื่อประโยชน์ในด้านอื่นๆ อีกมากมาย ตลอดจนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหยอนใจของประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
จากแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องน้ำที่มีอยู่เป็นจำนวนมากมายหลากหลาย นำไปสู่แนวความคิดในการเก็บกักน้ำขนาดใหญ่ ซึ่ง โครงการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสัก เป็นหนึ่งในจำนวนโครงการดังกล่าว ด้วยทรงพิจารณาเห็นว่าได้เกิดปัญหาน้ำท้วมสลับกับน้ำแล้งขึ้นในพื้นที่ภาคกลางเป็นประจำและทุกครั้งที่เกิดปัญหาได้นำความมาสู่สูญเสียให้กับเกษตรอย่างมหาศาลจึงจำเป็นต้องสร้างพื้นที่เก็บกักน้ำขนาดใหญ่ไว้ เพื่อให้มีแหล่งต้นทุนน้ำชลประทาน สำหรับใช้ในงานเกษตรช่วงฤดูแล้ง พร้อมกันนั้นก็เป็นการป้องกัน และบรรเทาอุทกภัยในบริเวณลุ่มน้ำป่าสักและลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างด้วย
สำหรับ เขื่อนพระราม ๖ อันเป็นหัวใจของ “โครงการป่าสักใต้” ที่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า-เจ้าอยู่หัวทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างไว้นั้น
ไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาภาวะขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง และภาวะน้ำล้นเกินความต้องการในฤดูหลาก ซึ่งสร้างปัญหาแก่พื้นที่ราบลุ่มภาคกลาง ทั้งนี้ เนื่องจากแม่น้ำป่าสักมีปริมาณน้ำไหลเฉลี่ยตลอดทั้งปีประมาณ ๒๔๐๐ ล้านลบ.ม. และถ้าคิดเฉลี่ยในช่วงเดือนกันยายน ถึงเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูฝน มีถึงประมาณ ๑๖๐๐ ล้าน ลบ.ม. ในห้วงเวลาที่ผ่านมา ปริมาณน้ำจำนวนมากเช่นนี้ นอกจากการท้าวขังในพื้นที่เป็นเวลายาวนานประมาณ ๒ สัปดาห์ ถึง ๑ เดือน ในแต่ละปีแล้วก็ ถูกปล่อยลงทะเล มิได้มีการนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์แต่ประการใด ทั้งๆ ที่ในฤดูแล้งเกิดการขาดแคลนน้ำเป็นประจำทุกปี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ผู้ทรงเป็นปราชญ์ในเรื่องน้ำของแผ่นดินอย่างแท่จริง ทรงพระราชวินิจฉัยถึงวิธีแก้ปัญหาน้ำที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคกลางและได้พระราชทานแนวพระราชดำริให้สร้างอ่างเก็บน้ำขึ้น ๒ แห่ง คือ แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำนครนายก เพื่อจะได้มีแหล่งเก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง ขณะเดียวกัน ก็ช่วยป้องกัน บรรเทาอุทกภัยในฤดูน้ำหลากด้วย พระราชหฤทัยที่ทรงห่วงใยประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และพื้นที่ภาคกลางที่ประสบปัญหาภัยแล้ง และการขาดแคลนน้ำดังกล่าวนี้ ปรากฏชัดเจน ในกระแสพระราชดำรัชที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ได้พระราชทานแก้คณะบุคคลต่างๆ เนื่องในวโรกาส วันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ ดังความตอนหนึ่งที่ขออันเชิญมาดังนี้
“…หมู่นี้ก็พูดกันอย่างขวัญเสียว่า อีกหน่อยต้องปันส่วนน้ำ หรือ ต้องตัดน้ำประปา อันนี้สำหรับกรุงเทพฯ ดังนั้นต้องหาแนวทางแก้ไข ซึ่งปัญหานี้ต้องวางแผนมาเป็นเวลาหลายปี แล้ว ถ้าหากว่า ได้ปฏิบัติ วันนี้ เราก็ไม่ต้องพูดถึงการขาดแคลนน้ำ โครงการโดยเฉพาะนั้นก็มี และโครงการนั้นได้ยืนยันมาเมื่อเดือนกว่าแล้วที่นราธิวาส โดยวางโครงการ และแม้เป็นโครงการไม่ได้แก้ปีนี้หรือปีหน้า แต่ถ้าทำอย่างดีประมาณ ๕ หรือ ๖ ปี ปัญหาน้ำขาดแคลนในกรุงเทพฯ จะหาไปโดยสิ้นเชิง อาจจะนึกว่า ๕-๖ ปี นั้นนาน ความจริงไม้นาน และระหว่างนี้เราก็พยายามแก้ไขเฉพาะหน้าไปเรื่อย แต่ถ้ามีความหวังว่า ๕-๖ ปี ปัญหานี้หมดไป ก็คงมีกำลังใจที่จะฝ่าชีวิตต่อไป”
นอกจากนั้น ยังมีพระราชดำริให้พิจารณาก่อสร้างโครงการพัฒนาแหล่งน้ำพร้อมระบบส่งน้ำ เพื่อจัดหาน้ำให้ราษฎรหมู่บ้านป่าไม้ และราษฎรหมู่บ้านอาสาพัฒนาป้องกันตนเอง ( อพป. ) ด้วย เพื่อราษฎรเหล่านี้จะได้มีน้ำใช้ทำการเพาะปลูกได้ทั้งฤดูฝนและฤดูแล้ง รวมทั้งมีน้ำไว้อุปโภคบริโภคได้ตลอดปีด้วย อันจะเป็นการช่วยให้ราษฎรมีความเป็นอยู่ดีขึ้น จะได้หวงแหนถิ่นที่อยู่อาศัย และกำจัดเงื่อนไขความยากจนที่ฝ่ายตรงข้ามใช้เป็นเครื่องมือในการชักจูงให้ราษฎรให้เป็นฝ่ายตน
อันที่จริง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริ ถึงวิธีแก้ปัญหาวิกฤตเรื่องน้ำในพื้นที่ภาคกลางมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยพระราชทานแนวคิดให้กรมชลประทานตั้งแต่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำการศึกษาความเหมาะสมในการจัดทำ โครงการเขื่อนเก็บกักน้ำแม่น้ำป่าสัก อย่างจริงจังและเร่งด่วน เพื่อช่วยแก้ไข ปัญหาการขาดแคลนน้ำ จะได้อำนวยประโยชน์ต่อพื้นที่เพาะปลูกในลุ่มน้ำป่าสัก ทั้งยังส่งผลการบรรเทาอุทกภัยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลด้วย แต่ครั้งนั้นมิได้มีพระราชกระแสรับสั่งเป็นการทั่วไปด้วยเหตุผลดังกระแสพระราชดำรัช ที่ได้พระราชทานไว้ในโอกาสเดียวกันกับพระราชดำรัชที่อัญเชิญมาในช่วงต้น ความตอนหนึ่งว่า
“…โครงการที่คิดจะทำนี้ บอกได้ไม่กล้าพูดมาหลายปี เพราะ เดี๋ยวนี้จะมีที่คัดค้านจาก ผู้เชี่ยวชาญ จากผู้ที่ต่อต้านการทำโครงการ แต่โครงการนี้เป็นโครงการที่ทำได้ และอยู่ในวิสัยที่จะทำได้ แม้จะเสียค่าใช้จ่ายมิใช้น้อย แต่ถ้าเดี๋ยวนี้ดำเนินการไปเดี๋ยวนี้ อีก ๕-๖ ปี ข้างหน้าเราสบาย แต่ถ้าไม่ทำ อีก ๕-๖ ปี ข้างหน้า ราคาค่าสร้าง ค่าดำเนินการก็จะขึ้นไป ๒ หรือ ๓ เท่า ลงท้ายก็ต้องประวิงต่อไป และเมื่อประวิงต่อไปไม่ได้ทำ เราก็ต้องอดน้ำแน่ จะกลายเป็นทะเลทราย และเราก็จะอพยพไปไหนไม่ได้ โครงการนี้คือ สร้างอ่างเก็บน้ำ ๒ แห่ง แห่งหนึ่ง คือ ที่แม่น้ำป่าสัก อีกแห่งหนึ่งที่แม่น้ำนครนายก ๒แห่งรวมกัน จะเก็บน้ำเหมาะสมพอเพียงสำหรับการบริโภค การใช้น้ำในเขตกรุงเทพฯ และเขตใกล้เคียงในที่ราบลุ่มของประเทศไทย…”
ที่มา… หนังสือ “เขื่อนป่าสักชลสิทธ์” โครงการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสัก อันเนื่องมาจากพระราชดำหริ / คณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์